เพลงที่เธอกำลังได้ยินอยู่ โปรดฟังดูให้ดี แล้วเมื่อไหร่ที่พบใครเศร้าใจอยู่ ฝากเพลงนี้ให้เขาฟังสักที
ให้เพลงๆนี้เป็นดังเหมือนกับตัวเเทนจากใจของเรา ที่จะบอกเขาว่าความรักเเท้ในโลกยังมี
ให้เพลงพาใจของเราไปพบกับ หัวใจของเขาซักที ส่งต่อเพลงนี้ด้วยรักและรักให้คนทุกคน
จะใกล้ชิดหรือห่างเพียงไหน ใจเราส่งถึงกันได้แค่เริ่มกับใครซักคน
หนึ่งเป็นร้อยเป็นล้าน ขอแค่ใจเรายอมเริ่มต้น ไม่ว่าคนไหนคงต้องถึงซักที*ให้เพลงๆนี้เป็นเหมือนกับตัวเเทนจากใจของเรา ที่จะบอกเขาถึงความรักเเท้ ที่ในโลกนี้ยังมี
ให้รักพาใจเขาไป พบกับใจเราซักที ส่งต่อเพลงนี้ด้วยรักและรักให้คนทุกคน** มอบรอยยิ้มให้คนที่พบ เพื่อเป็นการเริ่มต้นความรักที่ไม่รู้จบ และจะส่งเรื่อยไปด้วยใจต่อใจตราบนานเท่านาน
ให้ความรักนั้นสัมผัสใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่จะส่งต่อไปแม้เวลาผ่าน ให้จักรวาลแห่งนี้มีแต่ความรัก
ในพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาฉบับใหม่ โครินทร์ บทที่ 13 ข้อที่ 13 ได้บันทึกไว้ว่า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่งคือ ความเชื่อ ความหวังใจและความรักใหญ่ที่สุด (1 คร. 13:13 ) And now these three remain: faith, hope and love. But the greatest of these is love ( 1 Corinthians 13:13 )
เมื่อพิจารณาถึงวันวาเลนไทน์ ( Valentine’s Day ) ตามประวัติศาสตร์พบว่าในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ( Emperor Claudius II )แห่งกรุงโรม มีลักษณะนิสัยใจคอดุร้าย และนิยมการทำสงครามนองเลือด ซึ่งสมัยนั้นมีการสั่งห้าม ไม่ให้มีจัดพิธีหมั้นและการแต่งงานในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางตรงกันข้ามมีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์หรือวาเลนตินัสซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับคริสเตียนอีกหลายคู่และด้วยความปรารถนาดีนี้จึงเป็นเหตุให้วาเลนไทน์ถูกจับ และระหว่างนี้ก็ยังคำอวยพรของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไท์ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง
ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะเขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า From Your Valentine วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พาซีเดส ( Praxedes ) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์หรืออัลมอลต์สีชมพูไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอจนทุกวันนี้
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงเเสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความรักโรเเมติค ซึ่งในยุคกลางถือได้ว่าวาเลนไทน์เป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศสอีกด้วย
( http://library2.parliament.go.th )
นอกจากนี้จากคำเทศนาของนายเเพทย์วรุณ เลาหประสิทธิ์ ( 2559 ) ศิษยาภิบาลในคริสตจักร New Hope International Church Seattle ได้สรุปคำเทศนาในพระคริสตธรรมคัมภีร์เกี่ยวกับความรักของชาวคริสเตียนประกอบด้วย 4 ประเภทมีรายละเอียดดังนี้
- ฟีเลียส ( Philios ) เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบ ที่ชาวกรีกค้นพบและตั้งชื่อไว้ ฟีเลียสเป็นรักง่ายๆเป็นความรักระหว่างอีรอสและอากาเป้เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ทุกคนที่เกิดมา กล่าวคือมนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับในพระคัมภีร์ได้อ้างถึงว่าพระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆและเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูดสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า ” ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ในท้องทุ่งและนกในท้องฟ้า ให้เกิดจากดินแล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร แต่ชายนั้นยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่ ” [ ปฐมกาล 2:18-20]ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรกและมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกันเพื่อมีชีวิตรอดเป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐานคือ “ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน ” ความรักแบบฟีเลียสไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ่งต่อไปได้ ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคน ความรักแบบฟีเลียสมักจะ ” มีผลอะไรกับฉันบ้าง ” รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ยอห์น 16:19 ” ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะเป็นของท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน ”
- สตอรเก้ ( Storge ) เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมาตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรามีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกันเกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอดคือรักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ว่าให้ปกป้องลูกน้อยเพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเองอย่างง่ายดายเพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบนี้ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องการหวังผลตอบแทนทางอารมณ์มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบสตอรเก้ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะเรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติความรักในแบบฟีเลียสจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณถ้าคุณรักฉัน แต่ความรักในแบบสตอรเก้คือฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ จะเห็นได้จากเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ เป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบเเทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบสตอรเก้ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็นหรืออย่างที่ทุกคนเป็น
- อีรอส ( Eros )
ปฐมกาล 1:27 ” พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มเเผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือเเผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศกับบรรดาสัตว์ที่เคลือนไหวบนแผ่นดิน “
อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา ( Acquistive ) บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว ( Egocentric/Selfish ) เป็นรักที่ไม่แน่นเเฟ้นหรือไม่มีความยั่งยืน เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่เกี่ยวกันกับเรื่องทางเพศ ตอบสนองความงามของวัตถุและอาจนำไปสู่ความเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามในมุมมองของเพลโต นักปรัชญาชาวกรีกที่มีความคิดมีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก ได้กล่าวถึงความรักแบบอีรอสเป็นความรักในความงาม และรักในวัตถุแห่งความงาม เพลโตจึงกล่าวว่าคนรัก ( Lover ) หมายถึงคนที่รักในความสวยงามซึ่งเป็นมากกว่าลักษณะกายภาพอย่างเดียว เป็นเรื่องจิตใจด้วย ซึ่งได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ทำให้เราสังเกตกันและกันเพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่เเท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม มีความประทับใจกันและกัน สู่ความรักซึ่งกันและกัน และมีการแต่งงานกัน
- อกาเป้ ( Agape )
ยอน 3:16 ” เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก ( Agape ) โลกจึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ “
อกาเป้ เป็นรักระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเองและสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนเเปลงและให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอกาเป้อาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทองหรือรักในอะไรก็ตามที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่าเป็นความรักแบบอกาเป้ จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า ” Not that God is Eros or Storge or Philia but Agape ” อกาเป้เป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ว่าในบรรดาความรักทั้งหมด อกาเป้สำคัญที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรก Eros, Storge และ Philia ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเราและย่อมรักเพื่อนฝูงเพราะเขาดีกับเรา
แต่อกาเป้เป็นความรักชนิดเดียวที่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลจะสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรักที่ต้องมีให้ แม้แต่คนที่เกลียดชัง ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรักบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบไม่ได้ต้องการพระเจ้า เว้นแต่อกาเป้ เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วย เป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ
1 ยอน 4:16 ” พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผุ้นั้น “
ในทิศทางเดียวกับมุมมองการแบ่งปันคำเทศนาเรื่องวาเลนไทน์กับความของนิกร สิทธิจริยากรณ์ ( 2559 ) ซึ่งสรุปไว้ว่า มนุษย์ทุกคนรู้จักและคุ้นเคยกับคำว่ารักเป็นอย่างดี ความรักนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักของสามีภรรยาที่มีต่อกัน ความรักฉันท์พี่น้อง ความรักแบบเพื่อน หรือแม้แต่ความรักแบบอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตามความรักที่เราพบเห็นนี้เป็นความรักที่ไม่สมบูรณ์เป็นเพียงแต่แสงสะท้อนหรือเงาความรักที่เที่ยงเเท้ เมื่อพิจารณาความรักที่สมบูรณ์ กล่าวคือ
ในพระธรรม 1 ยอห์น 4:18 อ้าวถึง ” ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ ” จะเห็นได้ว่าความกลัวนั้นแอบแฝงมากับความรัก เช่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะหมดรักหรือนอกใจ กลัวว่าความตายจะมาพรากเราจากกันเป็นต้น
ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ความรักแท้มาจากพระเจ้าและความรักของพระองค์ก็คือการส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาตายเพื่อความผิดบาปของเรา ” แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลายคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ” ( โรม 5:8 ) และผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็จะรู้จักความรักแท้นั้น เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก นอกจากนี้มุมมองความรักที่แท้จริงจากพระเจ้า ยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วย เพราะความรักเปรียบเสมือนกาวที่คอยเชื่อมให้ความตั้งใจในการประพฤติดีต่างๆของเราเกิดความสมบูรณ์ ” แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์ ” ( โคโลสี 3:14 )
ดังนั้นมุมมองของความรักมีหลากหลาย ไม่เพียงแต่รักของหนุ่มสาว รักพ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือเหล่าบรรดาเพื่อนฝูง แต่หมายรวมถึงความรักที่แท้จริงต่อเพื่อนมนุษย์ ความรักที่สามารถรักคนที่ไม่น่ารักต่อเราได้ ที่สุดคือรักแบบไม่มีเงื่อนไข หรือความรักแบบอากาเป้ ซึ่งหากเมื่อใดทุกคนสามารถที่จะรักคนอื่นแบบไม่มีเงื่อนไข สามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองได้ ก็สามารถสัมผัสถึงความรักที่เเท้จริงและส่งต่อความรักนี้แด่ทุกคนได้
ให้ความรักนั้นสัมผัสใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่จะส่งต่อไปแม้เวลาผ่านให้จักรวาลแห่งนี้มีแต่ความรัก
อ้างอิง
นิกร สิทธิจริยาภรณ์ ( 2559 ) วาเลนไทน์กับความรัก เข้าถึงได้จาก www.followhisstep.com ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559
ประวัติวันวาเลนไทน์ [ ข้อมูลออนไลน์ ] สืบค้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 สืบค้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 สืบค้นจาก http://library2.parliament.go.th
วรุณ เลาหประสิทธิ์ (2559 ) ความรัก 4 ประเภท [ ข้อมูลออนไลน์ ] สืบค้นในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 สืบค้นจาก www.gracezone.org
** เผยแพร่ในวารสารเพชรปริทัศน์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ปีที่ 9 ฉบับที่ 94 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2559